วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แม้บรรลุธรรมก็ยังต้องขัดเกลาจิตใจอีกมาก

ธรรมะวันนี้ว่าด้วยเรื่องของผู้บรรลุธรรมเพราะว่าได้ศึกษามาบ้าง ที่ว่าบรรลุธรรมนั้นคือบรรลุจริงๆนะครับ หมายถึงว่าเกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมด้วยตนเองในบางเรื่อง ยังศรัทธาให้มั่นคงแล้วเพราะญาณเฉพาะตนดังกล่าว แต่อาจเป็นเพราะว่าศึกษามายังจำกัด จึงทราบเพียงบางส่วน แม้แต่ท่านพระสารีบุตรผู้เป็นพระเถระชั้นเลิศเองก็ยังมีอุปนิสัยเล็กๆน้อยๆบางประการที่ท่านยังตัดไม่ขาด พระสูตรนี้ได้กล่าวถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าแต่ครั้งยังทรงเสวยพระชาติเป็นนายช่างทำรถ ครั้งนั้นพระราชาทรงรับสั่งให้พระโพธิสัตว์ทรงทำล้อรถสองข้าง สำหรับออกทำศึกในอีก6เดือนข้างหน้า พระโพธิสัตว์ทรงทำล้อข้างหนึ่งใช้เวลาอีก6วันก็จะครบ6เดือน เวลาอีก6วันที่เหลือ พระโพธิสัตว์ทรงทำล้อรถอีกข้างได้สำเร็จ ครั้นนายช่างรถผู้โพธิสัตว์เจ้านำล้อรถทั้งสองข้างไปถวายพระราชา พระราชาปเจตนะตรัสถามว่าล้อรถข้างหนึ่งใช้เวลาทำหย่อนอีก6วันจะครบ6เดือน ส่วนล้อรถอีกข้างใช้เวลาทำ6วันเท่านั้น ล้อทั้งสองข้างต่างกันอย่างไร นายช่างรถได้แสดงให้พระเจ้าปเจตนะทอดพระเนตรโดยตั้งล้อบนพื้นหมุนล้อแรก ล้อแรกนั้นครั้นสิ้นแรงที่หมุนแล้วก็ยังคงตั้งนิ่งบนพื้นอยู่ได้ ส่วนล้อที่สองเมื่อสิ้นแรงหมุนแล้ว ล้อก็ล้มนอนราบกับพื้น นายช่างผู้ฉลาดนั้นอธิบายว่า ล้อรถที่สองนั้น เนื้อไม้ที่ทำล้อยังมีโทษ ยังมีความฝาดและความคดโกงของเนื้อไม้ที่ยังไม่ได้นำออกไป ฉันใดก็ฉันนั้น พระผู้มีพระภาคผู้อาศัยทรงเหตุผลและความรู้แห่งความเป็นนายช่างรถผู้ฉลาดที่ทราบในธรรมชาติของเนื้อไม้มาสั่งสอนพระสาวกว่า พวกเธอจงศึกษาอย่างนี้ว่า อุปนิสัยของเธอทั้งหลายแม้มีความรู้ในธรรม แต่ก็ยังมีรสความฝาดและความคดโกงในทางกาย ทางวาจา และทางใจ ที่สาวกทั้งหลายจะต้องหมั่นขัดเกลาอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน พึงตั้งจิตเพื่อละรสฝาดในอุปนิสัย พึงตั้งจิตเพื่อกระทำความบริสุทธิ์ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจอยู่ตลอด ดังนี้เถิด

ก็เป็นอันว่ายังมีหัวข้อธรรมะที่จะศึกษาและนำไปปฏิบัติกันอีกมากครับ

พระสูตรในวันนี้ยกมาจากพระสุตตันตปิฎก เล่ม12 อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ครับ

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
**************************************************
ปเจตนสูตร
[๔๕๔] ๑๕. สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่าอิสิปตนมฤค- *ทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มี พระภาคได้ตรัสว่า ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพระราชาพระองค์หนึ่งพระนามว่า ปเจตนะ ครั้งนั้น พระเจ้าปเจตนะได้รับสั่งกะนายช่างรถว่า ดูกรนายช่างรถผู้สหาย แต่นี้ไปอีก ๖ เดือน ฉันจักทำสงคราม ท่านสามารถจะทำล้อคู่ใหม่ของฉันได้ไหม นายช่างรถได้ทูลรับรองต่อพระเจ้าปเจตนะว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์สามารถจะทำ ถวายได้ ครั้งนั้นแล นายช่างรถได้ทำล้อสำเร็จข้างหนึ่ง โดย ๖ เดือน หย่อน ๖ ราตรี ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเจตนะตรัสเรียกนายช่างรถมาถามว่า ดูกรชายช่าง รถผู้สหาย แต่นี้ไปอีก ๖ วัน ฉันจักทำสงคราม ล้อคู่ใหม่สำเร็จแล้วหรือ ฯ นายช่างรถกราบทูลว่า ขอเดชะ โดย ๖ เดือน หย่อนอยู่อีก ๖ ราตรีนี้ แล ล้อได้เสร็จไปแล้วข้างหนึ่งฯ พระเจ้าปเจตนะตรัสถามว่า ดูกรนายช่างรถผู้สหาย ๖ วันนี้ท่านสามารถ จะทำล้อข้างที่สองของฉันให้เสร็จได้หรือ ฯ นายช่างรถได้กราบทูลรับรองต่อพระเจ้าปเจตนะว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ สามารถจะทำให้เสร็จได้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล นายช่างรถทำล้อข้างที่สองเสร็จโดย ๖ วัน แล้ว นำเอาล้อคู่ใหม่เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปเจตนะถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะล้อคู่ใหม่ของพระองค์นี้สำเร็จแล้ว พระเจ้าปเจตนะรับสั่งถามว่า ดูกรนายช่างรถผู้สหาย ล้อของท่านข้างที่ เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อน ๖ ราตรี กับอีกข้างหนึ่งเสร็จโดย ๖ วันนี้ เหตุอะไร เป็นเครื่องทำให้แตกต่างกัน ฉันจะเห็นความแตกต่างของมันได้อย่างไร ฯ นายช่างรถกราบทูลว่า ขอเดชะ ความแตกต่างของมันมีอยู่ ขอพระองค์ จงทรงทอดพระเนตรความแตกต่างกันของมัน ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล นายช่างรถยังล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วัน ให้หมุนไป ล้อนั้นเมื่อนายช่างรถหมุนไป ก็หมุนไปได้เท่าที่นายช่างรถหมุนไป แล้วหมุนเวียนล้มลงบนพื้นดิน นายช่างรถได้ยังล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อน อยู่ ๖ ราตรีให้หมุนไป ล้อนั้น เมื่อนายช่างรถหมุนไป ก็หมุนไปได้เท่าที่นายช่าง รถหมุนไป แล้วตั้งอยู่เหมือนอยู่ในเพลา ฉะนั้น ฯ พระเจ้าปเจตนะตรัสถามว่า ดูกรนายช่างรถผู้สหาย อะไรหนอเป็นเหตุ เป็น ปัจจัย ล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วันนี้ เมื่อถูกท่านหมุนไปแล้ว จึงหมุนไปเพียงเท่า ท่านหมุนไปได้ แล้วหมุนเวียนล้มลงบนพื้นดิน ก็อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อนอยู่ ๖ ราตรีนี้ เมื่อท่านหมุนไป จึงหมุนไปเท่าที่ ท่านหมุนไปได้ แล้วได้ตั้งอยู่เหมือนกับอยู่ในเพลา ฉะนั้น ฯ นายช่างรถกราบทูลว่า ขอเดชะ กงก็ดี กำก็ดี ดุมก็ดี ของล้อข้างที่ เสร็จแล้วโดย ๖ วันนี้ มันคดโค้ง มีโทษ มีรสฝาด เพราะกงก็ดี กำก็ดี ดุม ก็ดี คดโค้ง มีโทษ มีรสฝาด ฉะนั้นเมื่อข้าพระองค์หมุนไป จึงหมุนไป เท่าที่ข้าพระองค์หมุนไป แล้วหมุนเวียนล้มบนพื้นดิน ขอเดชะ ส่วนกงก็ดี กำก็ดี กุมก็ดี ของล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อนอยู่อีก ๖ ราตรีนี้ ไม่คดโค้ง หมดโทษ ไม่มีรสฝาด ฉะนั้น เมื่อข้าพระองค์หมุนไป จึงหมุนไปได้เท่าที่ ข้าพระองค์หมุนไป แล้วได้ตั้งอยู่เหมือนกับอยู่ในเพลา ฉะนั้น ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ท่านทั้งหลายจะพึงคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น คนอื่นได้ เป็นนายช่างรถ แต่ข้อนี้ไม่ควรเห็นดังนั้น สมัยนั้น เราได้เป็นนายช่างรถ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คราวนั้น เราเป็นคนฉลาดในความคดโค้งแห่งไม้ ในโทษ แห่งไม้ ในรสฝาดแห่งไม้ แต่บัดนี้เราเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉลาดใน ความคดโกงแห่งกาย ในโทษแห่งกาย ในรสฝาดแห่งกาย ฉลาดในความคดโกง แห่งวาจา ในโทษแห่งวาจา ในรสฝาดแห่งวาจา ฉลาดในความคดโกงแห่งใจ ในโทษแห่งใจ ในรสฝาดแห่งใจ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ละความคดโกง แห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย ไม่ละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่ง วาจา รสฝาดแห่งวาจา ไม่ละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจ เขาได้พลัดตกไปจากธรรมวินัยนี้ เหมือนกับล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วัน ฉะนั้น ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย ละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา ละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจ ได้ เขาดำรงมั่นอยู่ในธรรมวินัยนี้ เหมือนกับล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือนหย่อน อยู่ ๖ ราตรี ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายพึงศึกษา อย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย จักละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา จักละความ คดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย พึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
****************************************************************
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น